เสียงสวดมนต์แผ่วเบาดังแว่วมาจากซากปรักหักพังในยามวิกาล… ณ วัดมเหยงคณ์ เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของพระสงฆ์ในปัจจุบัน แต่เป็นเสียงที่ก้องกังวานมาจากอดีต เสียงของวิญญาณที่ยังคงวนเวียนอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ สถานที่ที่เคยเป็นสมรภูมิรบอันดุเดือด สถานที่ที่ความตายรวมถึงความสูญเสียฝังรากลึก เสียงที่แม้แต่อาจารย์เทพยังไม่อาจหาคำอธิบายได้ เริ่มต้นด้วยเรื่องราวชวนขนลุกที่เล่าขานกันมาเกี่ยวกับวัดมเหยงคณ์ วัดเก่าแก่แห่งอยุธยา ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ซากปรักหักพังของโบราณสถาน แต่ยังคงไว้ซึ่งเรื่องเล่าลี้ลับที่ทำให้ผู้คนขนลุกขนพอง และความเชื่อเกี่ยวกับสนามรบในอดีต ว่ากันว่าบริเวณวัดแห่งนี้เคยเป็นสมรภูมิรบอันดุเดือดระหว่างไทยกับพม่า เลือดเนื้อของนักรบทั้งสองฝ่ายได้หลั่งลงบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ ทำให้วิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้
สำหรับชาวบ้าน ผู้ที่เคยมาเยือนวัดมเหยงคณ์มักเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้พบเจอสิ่งลี้ลับต่างๆ บางคนบอกว่าเคยเห็นเงาคนเดินไปมาในยามค่ำคืน ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีผู้คนอยู่ บ้างก็เล่าว่าได้ยินเสียงร้องโหยหวน เสียงดาบกระทบกัน หรือแม้แต่เสียงม้าศึกดังแว่วมาจากซากปรักหักพังของวัด ทำให้เชื่อกันว่าวิญญาณของนักรบที่เสียชีวิตในสงครามยังคงผูกพันอยู่กับสถานที่แห่งนี้ รอคอยส่วนบุญส่วนกุศลที่จะส่งไปให้พวกเขาได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี นอกจากเรื่องราวของวิญญาณนักรบแล้ว ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชายรูปร่างสูงใหญ่คล้ายคนหิวโหยที่ปรากฏตัวให้เห็นในวัด เชื่อกันว่าเป็นวิญญาณของทหารที่อดอยาก หิวโหย และยังคงวนเวียนอยู่ในบริเวณวัด เรื่องเล่าเหล่านี้ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา ทำให้วัดมเหยงคณ์กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องเล่าเกี่ยวกับเสียงสวดมนต์ปริศนาที่ดังแว่วมาจากวัดในยามวิกาลก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้ขนลุก บางครั้งผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงหรือผู้ที่มาปฏิบัติธรรมมักจะได้ยินเสียงสวดมนต์ดังแผ่วมาจากวัด ทั้งๆ ที่ไม่มีพระสงฆ์อยู่บริเวณนั้น เชื่อกันว่าเป็นเสียงสวดมนต์ของวิญญาณที่ยังคงผูกพันกับวัด หรืออาจเป็นเสียงสวดมนต์จากอดีตที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ทำให้เรื่องราวเหล่านี้ยิ่งเพิ่มความน่าขนลุกมากยิ่งขึ้น
เมื่อนำเรื่องเล่าลี้ลับเหล่านี้มาผสานกับประวัติศาสตร์ของวัดมเหยงคณ์ ยิ่งทำให้เรื่องราวเหล่านี้น่าสังเกตุมากยิ่งขึ้น วัดมเหยงคณ์สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาโดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้งในสมัยต่อมา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัดที่มีต่อราชวงศ์และพุทธศาสนาในยุคนั้นแต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 ซึ่งเป็นจุดจบของอาณาจักรอันรุ่งเรือง วัดมเหยงคณ์ก็ถูกทิ้งร้างไปพร้อมกับความหายนะของกรุงศรีอยุธยา ซากปรักหักพังที่เหลืออยู่เป็นเครื่องยืนยันถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตและความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้น การที่วัดมเหยงคณ์เคยเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาและศูนย์กลางของชุมชน แต่กลับกลายเป็นสนามรบ ถูกทิ้งร้าง ทำให้เรื่องราวลี้ลับกอปรกับวิญญาณที่วนเวียนอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ดูน่าขนลุกและน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น การผสมผสานระหว่างเรื่องเล่าลี้ลับ ประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าของวัดมเหยงคณ์ ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาอย่างไม่รู้จบ
ปัจจุบัน วัดมเหยงคณ์ได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ มีทั้งส่วนที่เป็นโบราณสถานรวมถึงสำนักปฏิบัติธรรม แต่ถึงกระนั้นเสียงสวดมนต์แผ่วเบาที่ดังแว่วมาจากซากปรักหักพังในยามวิกาล เงาที่เคลื่อนไหวในความมืด และความรู้สึกวังเวงที่ผู้มาปฏิบัติธรรมสัมผัสได้ ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หรือเป็นสัญญาณบางอย่างที่รอการตีความ ปริศนาแห่งวัดมเหยงคณ์ยังคงรอคอยผู้มาพิสูน์ ..