เรื่องของลุงสมสู่การเปลี่ยนแปลง
ลุงสมเป็นชาวบ้านในชุมชนที่เคยประสบปัญหาความยากจน และปัญหาหนี้สินจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่เน้นการใช้สารเคมีรวมถึงพึ่งพาตลาดภายนอกอย่างมาก ชีวิตของลุงสมเต็มไปด้วยความเครียด ความกังวล ความทุกข์ที่เกิดจากการดิ้นรนหาเงินเพื่อใช้หนี้สิน วันหนึ่งลุงสมได้ลองน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาปรับใช้กับตัวเอง อาจารย์เทพอธิบายความหมายของคำว่า “พอเพียง” แบบที่เข้าใจง่าย ไม่ได้หมายถึงการอยู่อย่างอดอยาก แต่รู้จักความพอดี การพึ่งตนเอง และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล การทำเกษตรแบบผสมผสาน ลดการใช้สารเคมี ตลอดจนใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยในช่วงแรก ลุงสมยังคงลังเล แต่ด้วยความอดทนจึงลองปฏิบัติตามเพื่อสู้ให้ถึงวันเปลี่ยนแปลงโดยปรับเปลี่ยนวิธีการทำเกษตร โดยหันมาทำเกษตรแบบผสมผสาน ปลูกพืชผักหลากหลายชนิด เลี้ยงสัตว์ ทำปุ๋ยหมักใช้เอง ทำให้ลดต้นทุนการผลิตและมีอาหารไว้บริโภคในครัวเรือน นอกจากนี้ ยังได้เรียนรู้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น การทำน้ำหมักชีวภาพ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ลดการพึ่งพาภายนอก เมื่อลุงสมเริ่มปฏิบัติตามหลัก “พอเพียง” ชีวิตของลุงสมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ลุงสมไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สินมากเท่าเดิม มีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอ มีสุขภาพที่ดีจนมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น
จากเรื่องราวของลุงสม จะเห็นได้ว่าเพียงแค่คำว่า “พอเพียง” คำเดียว สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆ หนึ่งได้อย่างมากมาย ทำให้มีความสุขที่แท้จริง มีความมั่นคงในชีวิต และอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เน้นการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ รู้จักความพอดี และไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
อาจารย์เทพเล่าถึงพอเพียงในพระพุทธศาสนา
พอเพียงในทางพระพุทธศาสนา สอดคล้องกับหลักธรรมหลายประการ หนึ่งในนั้นคือหลัก สันโดษ (สันโดษะ) สันโดษ (สันโดษะ) ซึ่งมีความหมายไว้ว่า ความยินดีในสิ่งที่ตนมี พอใจในปัจจัย 4 ที่หามาได้โดยสุจริต ไม่โลภ ไม่ทะเยอทะยานเกินควร ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า สันโดษ ปรมัง ธนัง แปลว่า ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง การรู้จักพอจะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลักสันโดษนี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกหลายแห่ง เช่น ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การมีวัตถุมากมาย แต่ขึ้นอยู่กับความพอใจในสิ่งที่ตนมี การรู้จักพอจะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีความสอดคล้องกับหลัก มัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลาง ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและสั่งสอน ดังที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ดังนี้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน ข้อปฏิบัติสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ๑ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ๑ สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๑ สัมมกัมมันตะ การงานชอบ ๑ สัมมอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ๑ สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ ๑ สัมมาสติ การระลึกชอบ ๑ สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ ๑” จากพระสูตรนี้ จะเห็นได้ว่ามัชฌิมาปฏิปทาคือการดำเนินชีวิตตาม อริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นทางสายกลางที่ไม่สุดโต่งไปในสองทาง คือ การหมกมุ่นในกามสุข (กามสุขัลลิกานุโยค) และการทรมานตนเอง (อัตตกิลมถานุโยค) การดำเนินชีวิตตามอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ จะนำไปสู่ความสุขที่แท้จริงและความหลุดพ้นจากทุกข์
คุณค่าของมัชฌิมาปฏิปทาในความพอเพียง
อาจารย์เทพให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ธรรมะข้อนี้นอกจากจะเป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์แล้ว มัชฌิมาปฏิปทานี้ยังมีคุณค่าในเบื้องต้น คือ การดำเนินชีวิตให้เกิดความพอดี ซึ่งเป็นแนวทางของการแก้ทุกข์ที่เรียกว่า “อริยมรรคมีองค์ ๘” การนำหลักพอเพียงซึ่งสอดคล้องกับมัชฌิมาปฏิปทา มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้
• มีความสุขกับสิ่งที่มี ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
• ใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
• อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน
• มีจิตใจที่สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน
มหาสุวราชชาดก ว่าด้วยความพอเพียงของพญานกแขกเต้า
ตำนานเรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์เคยเสวยชาติเป็นพญานกแขกเต้า ตัวใหญ่ ปัญญาเฉียบแหลม อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้สูงเสียดฟ้า น้ำตกไหลเย็น นกแขกเต้าตัวนี้ กินแต่ผลไม้ป่า ผลหมากรากไม้ ตามฤดูกาล ชีวิตเรียบง่าย แต่มีความสุขเหลือเกิน เพราะอิสระเสรี อยากจะบินไปไหนก็ไป อยากจะกินอะไรก็กิน ไม่ต้องง้อใคร ทีนี้.. พระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี เสด็จประพาสป่า บังเอิญไปเจอนกแขกเต้าเข้า โอ้โห! ทรงเห็นแล้วก็ทรง “ปิ๊งไอเดีย อยากได้มาครอบครอง” พร้อมเอ่ยขึ้นว่า นกอะไรช่างงามสง่า ปัญญาเฉลียวฉลาด เลยรับสั่งให้จับนกแขกเต้ากลับวัง เอาไปเลี้ยงดูอย่างดี ให้อยู่ในกรงทองคำ ให้อาหารเลิศรส มีคนคอยปรนนิบัติพัดวี
แต่นกแขกเต้ากลับไม่แสดงอาการดีใจ หรือเสียใจอะไรเลย กินอาหารก็กินไปวันๆ ไม่มีความกระตือรือร้น พระราชาเห็นดังนั้นก็สงสัย เลยตรัสถามว่า “เจ้านกแขกเต้า ทำไมเราให้เจ้าอยู่สุขสบายขนาดนี้ เจ้าถึงไม่ดีใจบ้างเลย?” ทำให้นกแขกเต้าจึงทูลตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าแต่มหาราช ในป่า ข้าพระองค์กินผลไม้ป่า ถึงมันจะไม่หรูหราเท่าอาหารในวัง แต่มันเป็นของที่ข้าพระองค์หามาได้ด้วยตัวเอง ข้าพระองค์เป็นอิสระ อยากจะกินเมื่อไหร่ก็กิน อยากจะบินไปไหนก็บิน ไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร นั่นแหละคือความสุขของข้าพระองค์ แต่ในวังนี้ ถึงจะมีอาหารเลิศรส มีคนคอยดูแล แต่ข้าพระองค์ก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีอิสระ ความสุขที่แท้จริงของข้าพระองค์จึงหายไป” เมื่อพระราชาได้ฟังดังนั้น ก็ทรงเก็ตเลยว่า อ้อ ความสุขที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ไม่ได้อยู่ที่ความสะดวกสบาย แต่อยู่ที่อิสรภาพ และความพอเพียงนี่เอง เมื่อทรงเข้าใจแล้ว พระราชาก็ทรงปล่อยนกแขกเต้ากลับคืนสู่ป่า
อาจารย์เทพสรุปโดยย่อได้ว่าเรื่องนี้สอนให้เรารู้ถึงความพอเพียง นั่นคือไม่ได้อยู่อย่างอดอยาก แต่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี การพึ่งพาตัวเองได้ ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาแต่สิ่งภายนอก จนลืมคุณค่าของอิสรภาพ และความสุขที่แท้จริงที่อยู่ในใจเรา เหมือนที่นกแขกเต้าเลือกที่จะกินผลไม้ป่าอย่างอิสระ ดีกว่ากินอาหารเลิศรสในกรงทอง ซึ่งคนเราทุกวันนี้ มักจะวิ่งตามวัตถุนิยม วิ่งตามกระแสสังคม จนลืมไปว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง ลองหันกลับมามองตัวเอง มองสิ่งที่เรามี ลองใช้ชีวิตให้เรียบง่าย พึ่งพาตัวเองให้มากขึ้นแล้วเราจะพบว่า ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง